ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

จากนายสิบทหาร ก้าวข้ามมาเป็นสารวัตรตำรวจ สู่นักการเมืองที่คนจำ บุรุษผู้สร้างสีสันแก่การเมืองไทยมากว่า 30 ปี สารวัตร ยังคงเป็นคำที่เหล่าคนสนิทใช้เรียกขาน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ติดปากมาจนถึงทุกวันนี้

joker123

ตลอดทั้งชีวิต แม้จะมีตำแหน่งทางการเมืองใหญ่โตขนาดไหน สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดสำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ยังคงเป็นการทำงานในตำแหน่งสารวัตรกองปราบ

“ช่วงวัยเรียน ผมอาศัยอยู่ในย่านบางขุนเทียน ซึ่งในสมัยนั้นคือชาวสวน ไม่มีถนนหนทาง พ่อของผมซึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวน แม้จะเป็นเพียงจ่า 4 บั้ง แต่ก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ”

ด้วยความที่เป็นเด็กรักการเรียนและเรียนเก่ง เมื่อ “ด.ช.เฉลิม” ได้เข้าเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ย่านบางขุนเทียน จึงได้ตัดสินใจมาเป็นเด็กวัดที่วัดกำแพง (ย่านบางขุนเทียน)

“ระหว่างที่ผมเป็นเด็กวัดวัดกำแพง ก็มีการจัดงานประจำปีของวัด และคนแถวนั้นก็เป็นคนสวน เมื่อมางานวัดมีการกินเหล้าเมายากัน แล้วก็ตีกัน ตำรวจเข้าไประงับเหตุ ไม่มีใครฟังตำรวจเลย ปีต่อมาจึงมีการจ้างสารวัตรทหารมารักษาการณ์ในงาน ซึ่งชาวบ้านก็ยังเมาและตีกันเหมือนเดิม แต่สารวัตรทหารไม่สนใจ ใช้หมวกไฟเบอร์ทหารสีขาวตบตีคนที่ตีกัน แต่ชาวบ้านกลับถูกใจ ผมเห็นก็รู้สึกว่าอาชีพนี้มันใหญ่ดี เมื่อมีการเปิดสอบทหาร ผมก็ไปสอบที่มณฑลทหารบกที่ 1 เขารับ 7 คน ผมได้ที่ 1 ทั่วประเทศรับ 30 คน ผมก็เข้าไปเรียน”

แต่หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 2 สัปดาห์ หลายอย่างก็ทำให้เขารู้ว่า เส้นทางอาชีพทหารในยศนายสิบ นั้นโอกาสก้าวหน้าแทบจะไม่มี เขาจึงตัดสินใจว่า เมื่อเรียนจบก็จะลาออก

สล็อต

“ตอนแรกผมคิดว่าจะลาออกเลย แต่ครูฝึกบอกว่าถ้าลาออกจะต้องไปเป็นทหารเกณฑ์อีก 1 ปี ก็เลยตัดสินใจเรียนให้จบ แต่ระหว่างเรียนก็มีคนแนะนำเส้นทางว่าถ้าเรียนได้ที่ 1 ของรุ่นก็จะได้ไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งจะมีโอกาสเป็นนายร้อย ก็เลยตั้งใจเรียน แต่สุดท้ายคะแนนก็แพ้เพื่อนในรุ่นที่ได้ที่ 1 ไปแค่ 1 คะแนน ทำให้ผมไม่ได้ไปเรียนเตรียมทหาร แล้วก็ได้บรรจุเข้าเป็นครูฝึก โรงเรียนสารวัตรทหาร และฝึกนักเรียนรุ่นน้อง”

จากนั้น นายสิบเฉลิม ก็รับราชการเป็นครูฝึกโรงเรียนสารวัตรทหารอยู่ 7 ปีเต็ม ซึ่งตลอดเวลาเขาได้คิดทบทวนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ และด้วยความที่เป็นลูกตำรวจที่เชื่อว่า ตำรวจจะมีสวัสดิการที่ดีกว่าทหาร จึงทำเรื่องขอโอนย้ายสังกัดไปอยู่กองปราบปราม หรือที่เรียกกันติดปากสมัยนั้นว่ากองปราบสามยอด เพื่อเป็นตำรวจ

“ช่วงต้นปี 2512 ผมถูกเรียกไปทดสอบทุกขั้นตอน ทางตำรวจจึงรับโอน จากสิบเอกทหารบก สังกัดกองพันนักเรียนนายสิบ มาเป็นผู้บังคับหมู่ แผนก 5 กอง 2 กองปราบ หรือคอมมานโด ในช่วงปี 2513 ได้ยศ ส.ต.อ. ซึ่งขณะนั้นมีทุนนักเรียนอังกฤษ ให้ตำรวจสอบไปเรียนหลักสูตรปราบจลาจล ที่ประเทศมาเลเซีย ผมสอบได้ และได้ไปเรียน 7 สัปดาห์ เข้าสู่ปี2515 ก็มีการเปิดสอบนายตำรวจสัญญาบัตรสายสอบสวน ผมมีสิทธิได้สอบ 3 สนาม พอถึงเวลาประกาศผลสอบ ผมถูกร้องเรียน หาว่าจ้างคนไปสอบแทน เพราะไม่มีใครคิดว่าคนที่ย้ายมาจากทหาร และจะสอบสายสอบสวนได้ สุดท้ายก็มีการให้คัดลอกลายมือ ให้กองพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบ ว่าใช่ลายมือผมจริงหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดก็ได้รับการยืนยันว่าผมทำข้อสอบเอง”

ร.ต.อ.เฉลิมเล่าว่า ระหว่างเตรียมตัวที่จะไปอบรมที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เพื่อขึ้นเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร รัฐบาลกังวลว่าช่วงนั้นจะมีการเดินขบวนประท้วงกัน จึงเตรียมการป้องกัน กองปราบจึงเรียกตัว ไปเป็นครูฝึกปราบจลาจลให้ทหารที่กรมทหารราบที่11 พอเสร็จจากตรงนั้นโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานก็ต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะต้องการเชิญตัวไปเป็นครูฝึกหลักสูตรปราบจลาจล ให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 27-28 ที่เรียนอยู่ในขณะนั้น

สล็อต

สล็อตออนไลน์

เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม ผ่านการอบรมที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ก็ฝึกงานที่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ ซึ่งอยู่ใกล้กับกองปราบปรามสามยอด โดยได้ฝึกพร้อมกับนักเรียนนายร้อยรุ่น 26 ซึ่งทำให้เขาได้มีโอกาสรู้จักกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฝึกงานที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท

ในเดือนมิถุนายน 2516 เขาก็ได้ติดยศ ร.ต.ต. แล้วตุลาคม 2516 ก็ติดยศ ร.ต.ท. จากนั้นไม่นานนักเขาก็ได้ติดยศ ร.ต.อ. โดย ร.ต.อ.เฉลิม นับว่าเขาได้ใช้เวลา3ปีครึ่งในเส้นทางตำรวจชั้นประทวนสู่ยศร้อยตำรวจเอก

หลังจากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สารวัตรแผนก4 กองกำกับการ2 กองปราบปราม ที่เรียกกันว่า สารวัตรประเทศไทย

“สารวัตรประเทศไทย มีอำนาจสืบสวนจับกุมออกหมายจับหมายค้นด้วยตัวเองทั่วราชอาณาจักร และ เป็นตำแหน่งที่ผมมีความภาคภูมิใจมากที่สุด เพราะในขณะที่ผมอายุ 28 ปี ซึ่งผมเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่มาจากชั้นประทวนแล้วได้มาอยู่ในตำแหน่งสารวัตรประเทศ”

“ระหว่างทำงาน ผมทำคดีสำคัญหลายคดี เมื่อมีผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ มีครั้งหนึ่ง นายตำรวจระดับรองอธิบดีกรมตำรวจสั่งให้ผมไปจับบ่อนการพนันแห่งหนึ่ง ผมก็ไปจับ ปรากฏว่าเจ้าของบ่อนเป็นภรรยาของเจ้าของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในขณะนั้นเป็นเศรษฐีเบอร์ 1 ของเมืองไทย หลังจากจับเสร็จ ผมถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เรียกไปด่า 2 ชั่วโมง ที่กระทรวงมหาดไทย และ ด่าแบบเสียๆหายๆ ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม ไม่มีความเป็นผู้บังคับบัญชา
เมื่อกลับมาที่กองปราบก็มีคำสั่งย้ายผม จากสารวัตรประเทศไทย ไปเป็นหัวหน้าแผนก 8 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าหน่วยแพทย์ และคนที่จะเป็นได้ต้องจบแพทย์ พอเอาผมไปอยู่ก็ไม่ได้ทำงานอะไร ผมอยู่ที่นั่น 1 ปี 3 เดือน ถูกงดบำเหน็จ 6 ปีเต็ม ก็รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง จึงได้ซึมซับ และตกผลึก”

“ต่อมามีคดีใหญ่ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมสามารถจับคนร้ายและคลี่คลายคดีได้ จึงมีโอกาสย้ายกลับมาเป็นสารวัตรประเทศอีกครั้ง เมื่อกลับมางานในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ผมก็ทำการสอบสวนคดีตามปกติ แต่สืบไปสืบมามีอยู่คดีหนึ่งไปเจอตอ ผมไปบอกผู้ใหญ่ให้ดำเนินการ แต่ผู้ใหญ่ไม่กล้าจนคดีนั้นต้องพับไป ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีความเป็นธรรม จึงเห็นว่าถ้ายังเดินสายนี้ต่อไปน่าจะก้าวหน้ายาก เพราะผมมีความจริงจังและจริงใจในการทำงานมากไป”

ร.ต.อ.เฉลิมเล่าว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่ไปมีความสนิทสนมกับ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และมีความผูกพันกันพอสมควร พอช่วงเดือนเมษายน 2524 หรือที่เกิดเหตุการณ์ ยึดอำนาจ “เมษาฮาวาย” เขาจึงได้นำตำรวจกองปราบฯ ร่วมกับคณะผู้ก่อการยึดอำนาจจากรัฐบาลในขณะนั้น !

ผลปรากฏว่า การยึดอำนาจไม่สำเร็จ ฝ่าย “ผู้ก่อการ” พ่ายแพ้ถูกจับ และ “ร.ต.อ.เฉลิม” ก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกดำเนินคดีในโทษฐาน “กบฏ”

“เมื่อปฏิวัติแพ้ ผมก็ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำบางเขน 1 เดือน และต่อมามีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ก็เท่ากับว่าผมไม่มีความผิด ผู้บังคับบัญชา จึงชวนผมกลับมาเป็นตำรวจอีก แต่ผมขออนุญาต เพราะได้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินบนเส้นทางการเมืองแล้ว”

จากนั้น “ร.ต.อ.เฉลิม” ก็เดินเข้าสมัครเป็นสมาชิก “พรรคประชาธิปัตย์” และลงสมัครรับเลือกตั้งจนได้เป็น “ส.ส.กทม.”

jumboslot

และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า ไปทะเลเจอฉลามมาสภาเจอเฉลิม เป็นอมตะสำหรับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รัฐมนตรี 5 กระทรวง ผู้โลดแล่นบนเส้นทางสายอำนาจมาเกือบ 4 ทศวรรษ ทั้งทุกข์สุข ขมขื่น และเสพย์สม ผ่านร้อนผ่านหนาวจนไม่มีใครกล้าท้าดวลประลองเชิงในยุทธจักรด้วย

“สารวัตรเฉลิม”เป็นลูกตำรวจเก่า เคยเป็น”ทหารยศสิบโท” ก่อนจะเรียนปริญญาตรี นิติศาสตร์ รามคำแหง และโอนย้ายมาเป็นตำรวจ ก้าวหน้ารวดเร็วจนเป็น “สารวัตรกองปราบ” ภายในเวลาอันรวดเร็ว และเข้าไปพัวพันกับ “กบฏเมษาฮาวาย” โดยอยู่ฝ่ายพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา และ นายทหาร จปร.7 สุดท้ายถูก”ไล่ออกจากราชการ” และลงสู่สนามการเมืองสมัยแรกในปี 2526 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในสนามฝั่งธนบุรี

ขุนศึกฝั่งธน – ขุนพลพระนคร เป็นสาธกโวหารถึง “สารวัตรเฉลิม และ ออหมัก”มายาวนาน ด้วยลีลาท่าทางโดดเด่นในสภาฯ เป็นที่ยอมรับ จนในที่สุด “สารวัตรเฉลิม” ตัดสินใจเด็ดขาดโบกมือลาพรรคประชาธิปัตย์ ก่อตั้ง”พรรคมวลชน” เป็นของตนเอง และเข้าร่วมรัฐบาลกับพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล “อสมท” ในฐานะ “รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” เรียกว่า ยุคสมัยนั้นความกล้าดุเดือดของ”สารวัตรเฉลิม” คือ ตาต่อตาฟันต่อฟันกับทหาร ควบคุมการออกข่าวของ “อสมท” อย่างเคร่งครัด รวมไปถึงช่วงข่าวแว่ว “รัฐประหาร” ภายใต้กลุ่มนายทหาร “จปร.5″ ขั้วอำนาจ”จ๊อด-สุ-เต้-ตุ๋ย” รหัสลับ 0143 “สารวัตรเฉลิม”ของผมก็ไม่เบา เอารถไปดักฟังโทรศัพท์ทหาร เรียกว่า ข้อมูลที่สารวัตรเฉลิมมี ถ้าแฉออกมาก็ “บันเทิงสิครับ”

ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ เสียงสบถจากปาก “บิ๊กสุ” พลเอกสุจินดา คราประยูร ผบ.ทบ. ถึง “สารวัตรเฉลิม” และยื่นคำขาดให้รัฐบาล”ปลดสารวัตรเฉลิม” แต่แทนที่น้าชาติมาดนักซิ่ง จะปฏิบัติตามข้อเสนอกลับขับรถย้อนศร แต่งตั้ง”บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก อดีต ผบ.ทบ. เป็น รมช.กลาโหม และจะเสนอชื่อ “พี่เมียบิ๊กสุ -เพื่อนรัก จปร.5” คือ พลเอกอิสระพงษ์ หนุนภักดี เป็น “ผบ.ทบ.”แทนบิ๊กสุ แต่เลือดข้นกว่าน้ำ เพื่อนสำคัญกว่าอำนาจ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 จึงเกิดการรัฐประหารโดยการ”ไฮแจค” ควบคุมตัวน้าชาติบนเครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศ

slot

“สารวัตรเฉลิม” ลี้ภัยไปประเทศเดนมาร์คพร้อมครอบครัว ต่อมาได้ประสานงานยังชายเสื้อคับ เจ้าของฉายา “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กจ๊อด” หัวหน้า รสช จนสามารถกลับประเทศไทยได้ ซึ่ง “วังวนรัฐประหาร” สารวัตรเฉลิมย่อมมีประสบการณ์และเรียนรู้ที่จะอยู่ในมุมไหน ท่วงทีท่าทางจะวางออกมาในแบบไหน ในฐานะ “ผู้มากประสบการณ์”

“มท.1” ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า “บู๊”ได้มันส์หยดเลือดอาบ กับกรณีการเสนอให้ “ถอดยศทักษิณ” แต่สารวัตรเฉลิมประกาศว่า “จะไม่มีการถอดยศ มีแต่การเพิ่มยศ ให้เป็น พลตำรวจเอก”

ทุกวันนี้สารวัตรเฉลิม มีทายาทผู้มุ่งมั่นเข้าสู่สนามการเมือง คือ “วัน อยู่บำรุง” เจ้าของมอตโต้ “ใจถึงพึ่งได้” มีแฟนคลับติดตามหลายแสนคน ผ่านไปทางไหนมี “สติกเกอร์” ติดมากมาย มีรูปผู้ชายมีหนวดสวมเสื้อสีแดง ทั่วบ้านทั่วเมืองไปแล้ว ถอดบุคลิกลักษณะของพ่อมาไว้ในตัวตนดุจ “ลูกไม้หล่นใต้ต้น”

จากนายสิบทหาร ก้าวข้ามมาเป็นสารวัตรตำรวจ สู่นักการเมืองที่คนจำ บุรุษผู้สร้างสีสันแก่การเมืองไทยมากว่า 30 ปี สารวัตร ยังคงเป็นคำที่เหล่าคนสนิทใช้เรียกขาน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ติดปากมาจนถึงทุกวันนี้ joker123 ตลอดทั้งชีวิต แม้จะมีตำแหน่งทางการเมืองใหญ่โตขนาดไหน สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดสำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ยังคงเป็นการทำงานในตำแหน่งสารวัตรกองปราบ “ช่วงวัยเรียน ผมอาศัยอยู่ในย่านบางขุนเทียน ซึ่งในสมัยนั้นคือชาวสวน ไม่มีถนนหนทาง พ่อของผมซึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวน แม้จะเป็นเพียงจ่า 4 บั้ง แต่ก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ” ด้วยความที่เป็นเด็กรักการเรียนและเรียนเก่ง เมื่อ “ด.ช.เฉลิม” ได้เข้าเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ย่านบางขุนเทียน จึงได้ตัดสินใจมาเป็นเด็กวัดที่วัดกำแพง (ย่านบางขุนเทียน) “ระหว่างที่ผมเป็นเด็กวัดวัดกำแพง ก็มีการจัดงานประจำปีของวัด และคนแถวนั้นก็เป็นคนสวน เมื่อมางานวัดมีการกินเหล้าเมายากัน แล้วก็ตีกัน ตำรวจเข้าไประงับเหตุ ไม่มีใครฟังตำรวจเลย ปีต่อมาจึงมีการจ้างสารวัตรทหารมารักษาการณ์ในงาน ซึ่งชาวบ้านก็ยังเมาและตีกันเหมือนเดิม แต่สารวัตรทหารไม่สนใจ ใช้หมวกไฟเบอร์ทหารสีขาวตบตีคนที่ตีกัน แต่ชาวบ้านกลับถูกใจ ผมเห็นก็รู้สึกว่าอาชีพนี้มันใหญ่ดี เมื่อมีการเปิดสอบทหาร ผมก็ไปสอบที่มณฑลทหารบกที่ 1 เขารับ 7 คน ผมได้ที่ 1…

จากนายสิบทหาร ก้าวข้ามมาเป็นสารวัตรตำรวจ สู่นักการเมืองที่คนจำ บุรุษผู้สร้างสีสันแก่การเมืองไทยมากว่า 30 ปี สารวัตร ยังคงเป็นคำที่เหล่าคนสนิทใช้เรียกขาน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ติดปากมาจนถึงทุกวันนี้ joker123 ตลอดทั้งชีวิต แม้จะมีตำแหน่งทางการเมืองใหญ่โตขนาดไหน สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดสำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ยังคงเป็นการทำงานในตำแหน่งสารวัตรกองปราบ “ช่วงวัยเรียน ผมอาศัยอยู่ในย่านบางขุนเทียน ซึ่งในสมัยนั้นคือชาวสวน ไม่มีถนนหนทาง พ่อของผมซึ่งเป็นตำรวจชั้นประทวน แม้จะเป็นเพียงจ่า 4 บั้ง แต่ก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ” ด้วยความที่เป็นเด็กรักการเรียนและเรียนเก่ง เมื่อ “ด.ช.เฉลิม” ได้เข้าเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ย่านบางขุนเทียน จึงได้ตัดสินใจมาเป็นเด็กวัดที่วัดกำแพง (ย่านบางขุนเทียน) “ระหว่างที่ผมเป็นเด็กวัดวัดกำแพง ก็มีการจัดงานประจำปีของวัด และคนแถวนั้นก็เป็นคนสวน เมื่อมางานวัดมีการกินเหล้าเมายากัน แล้วก็ตีกัน ตำรวจเข้าไประงับเหตุ ไม่มีใครฟังตำรวจเลย ปีต่อมาจึงมีการจ้างสารวัตรทหารมารักษาการณ์ในงาน ซึ่งชาวบ้านก็ยังเมาและตีกันเหมือนเดิม แต่สารวัตรทหารไม่สนใจ ใช้หมวกไฟเบอร์ทหารสีขาวตบตีคนที่ตีกัน แต่ชาวบ้านกลับถูกใจ ผมเห็นก็รู้สึกว่าอาชีพนี้มันใหญ่ดี เมื่อมีการเปิดสอบทหาร ผมก็ไปสอบที่มณฑลทหารบกที่ 1 เขารับ 7 คน ผมได้ที่ 1…